สมศักดิ์ พรนารายณ์ นักข่มขืนจากลุ่มน้ำโขง
น.ช.สมศักดิ์ พรนารายณ์หรือศักดิ์สิทธิ์ คำใส อายุ 37 ปี หมายเลขประจำตัว 357/39 คดีข่มขืนกระทำชำเรา และฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(6), 83, 340 วรรคท้าย, 90 หมายเลขคดีดำที่ 3768/38 หมายเลขคดีแดงที่ 691/39 ศาลจังหวัดเลย เหตุเกิดพื้นที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ.2542 เวลาประมาณ 15.40 น. ข้าพเจ้าได้ถืออาหารมื้อเย็น เดินเข้ามาในเรือนจำ เพื่อเตรียมพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่เวรยามกลางคืนของวันนั้น ภายในฝ่ายควบคุมผู้ต้องขังแดน 10(ขังเดี่ยว) และได้เข้าไปเซ็นชื่อที่ศาลาฝ่ายควบคุมผู้ต้องขัง ผู้อำนวยการส่วนควบคุมฯในขณะนั้น ได้สั่งให้ข้าพเจ้านำอาหารไปเก็บไว้ และมอบหมายหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่นายอื่นดูแลไปก่อน แล้วให้รีบออกมาพบที่ฝ่ายควบคุมฯด่วน เมื่อข้าพเจ้าจัดการตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อย ผู้อำนวยการส่วนควบคุมฯได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “ยุทธ วันนี้จะมีการประหารชีวิตนักโทษหนึ่งราย แต่พี่เลี้ยงขาดไปคนหนึ่ง เพราะสมหมายได้ขอลาออกจากหน้าที่พี่เลี้ยงแล้ว ผมดูแล้วคุณน่าจะเหมาะสมในการทำหน้าที่นี้ ยังไงก็ช่วยกันหน่อยนะ” ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า “หัวหน้าครับ ผมทำไม่เป็นและไม่รู้ขั้นตอน เคยเห็นเขาเอานักโทษไปประหารแค่สามครั้ง และได้ยืนดูห่างๆ ผมเกรงว่าจะทำไม่ได้” ผู้อำนวยการส่วนควบคุมฯจึงบอกว่า “ ไม่เป็นไรยุทธ เดี๋ยวจะให้บานสอนให้ ไม่ยากหรอก” ซึ่งหมายถึงผู้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงรุ่นพี่ชื่อ “พี่บาน” ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจตอบตกลงไป
หลังจากนั้นสักครู่ พี่บานได้มาสอนขั้นตอนและวิธีการต่างๆให้แก่ข้าพเจ้า โดยบอกว่า “ยุทธเมื่อเข้าไปเบิกตัวนักโทษที่ห้องขัง พอเจ้าหน้าที่ประจำตึกไขกุญแจ หัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางจะเป็นผู้เรียกชื่อนักโทษ ขอให้คุณยืนคอยที่ปากประตูขัง ถ้าเห็นนักโทษเดินมาถึงประตูเมื่อไร ให้ดึงตัวออกมาจากห้องทันที แล้วค้นตัวให้ละเอียด อย่าให้มีอาวุธซุกซ่อนติดตัวไปได้อย่างเด็ดขาด แล้วให้คุณกับพี่เลี้ยงอีกนาย ล็อกแขนคนละข้าง รีบนำตัวออกไปที่หมวดผู้ช่วยเหลือเลยนะ คอยพูดปลอบใจไว้ด้วย ผมจะเดินตามไปด้านหลังคุณเอง หน้าที่คุณวันนี้ให้คอยประกบตัวนักโทษไว้ ทั้งเวลาพิมพ์ลายนิ้วมือและตอนพระเทศน์ เสร็จแล้วให้คุณนำไปที่ห้องประหารเลย ล็อกแขนให้ดีๆด้วย ระวังอย่าให้อาละวาดได้ เวลาอยู่ในห้องประหารให้ใช้เสียงพูดให้น้อยที่สุด คุณคอยดูวิธีมัดตัวนักโทษให้ติดกับหลักไว้ สงสัยอะไรค่อยมาถามผมอีกทีหลังจากประหารเสร็จแล้ว ตกลงนะ” ซึ่งข้าพเจ้าก็พยักหน้ารับทราบ
เวลา 16.10 น. หัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางพร้อมด้วยพี่เลี้ยงทั้งหมด และเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัย ได้เข้าไปเบิกตัวนักโทษประหารที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าได้รับทราบแล้วว่านักโทษที่จะถูกประหารในวันนี้ เป็นนักโทษเด็ดขาดคดีข่มขืนและฆ่าฯ ชื่อ “ สมศักดิ์ พรนารายณ์”
เมื่อเข้าไปถึงหมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องเพลงเฮฮาแว่วออกมาจากตึกขัง เนื่องจากขณะนั้นมีข่าวออกมาว่า จะมีการพระราชทานอภัยโทษครั้งใหญ่ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 72 พรรษา ในวันที่ 5 ธ.ค. 2542 นี้ และภายในปีเดียวกันนี้ ยังไม่เคยทำการประหารชีวิตนักโทษแม้แต่รายเดียว ทำให้นักโทษประหารที่คดีถึงที่สุดแล้ว มีความหวังที่จะรอดพ้นจากโทษประหารชีวิต
เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำตึกขังได้ไขกุญแจเปิดประตูตึก ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทั้งหมดจึงเดินเข้าไปภายใน เสียงร้องเพลงเฮฮาที่ได้ยินอยู่เมื่อสักครู่ ได้เงียบเสียงลงในทันที เมื่อถึงห้องที่ใช้คุมขังน.ช.สมศักดิ์ เจ้าหน้าที่ทั้งหมคได้หยุดยืนมองเข้าไปภายในห้องนั้น นักโทษประหารที่อยู่ภายในห้องต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก มีสีหน้าตกใจและซีดเผือด เจ้าหน้าที่ประจำตึกขังชี้ให้ข้าพเจ้าดูน.ช.สมศักดิ์ ซึ่งเห็นนั่งถอดเสื้ออยู่กลางห้อง เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนมาก หัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางได้เอ่ยเรียก “ สมศักดิ์ พรนารายณ์ ออกมานี่” ข้าพเจ้าซึ่งจับตามองน.ช.สมศักดิ์อยู่ เห็นน.ช.สมศักดิ์สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที แล้วถอนหายใจออกมาอย่างแรง
จากนั้นได้ลุกขึ้นยืนและหันหน้าไปพูดกับเพื่อนร่วมห้อง “ เพื่อนๆผมขอลาก่อน นายเขามาเอาตัวผมไปใช้กรรมแล้ว” นักโทษประหารภายในห้องนั้นและห้องใกล้เคียง เมื่อได้ยินน.ช.สมศักดิ์กล่าวอำลา ต่างก็ส่งเสียงต่างๆกันไป “ ไปสู่ที่ชอบเถอะเพื่อน” “ ศักดิ์เพื่อนหมดกรรมก่อนพวกเราแล้ว” “ ไม่นานเราคงจะตามไป” “ นึกถึงพระไว้เพื่อน” ฯลฯ น.ช.สมศักดิ์ได้เอื้อมมือไปรับเสื้อที่เพื่อนนักโทษส่งมาให้ขึ้นสวมใส่แล้วกล่าวว่า “ผมขอให้เพื่อนนักโทษประหารทุกคน รอดพ้นจากโทษประหาร และได้รับอภัยในปีนี้ทุกคน” แล้วเดินออกมาที่ประตูห้อง ข้าพเจ้าคว้าจับที่ข้อมือไว้ได้ ก็รีบดึงตัวน.ช.สมศักดิ์ ให้พ้นออกมาจากห้องในทันที ทำการตรวจค้นตัวแต่ไม่พบสิ่งใด ข้าพเจ้าจึงล็อกที่แขนข้างขวาของน.ช.สมศักดิ์ พาเดินออกมาจากตึกขังในทันที (ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ที่ด้านขวามือของนักโทษประหารมาตลอด)
เมื่อข้าพเจ้านำน.ช.สมศักดิ์ออกมาจากตึกขังแล้ว น.ช.สมศักดิ์ได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “หัวหน้าครับผมขอใส่รองเท้าของผมไปด้วยนะครับ ผมไม่อยากตายเท้าเปล่า ถ้ายังไงหัวหน้าช่วยบอกให้เขาเอาร้องเท้าของผมใส่โลงศพให้ด้วย” ข้าพเจ้าจึงตอบกลับไป “ ไม่มีปัญหาศักดิ์ แล้วจะจัดการให้” เสร็จแล้วจึงนำน.ช.สมศักดิ์ไปที่หมวดผู้ช่วยเหลือ ระหว่างทางข้าพเจ้าได้พูดกับน.ช.สมศักดิ์ “ ศักดิ์พวกผมและเจ้าหน้าที่ทุกนายทำตามหน้าที่ อย่าได้โกรธเคืองหรือมีเวรกรรมต่อกันเลยนะ” น.ช.สมศักดิ์ตอบว่า “ ครับหัวหน้าผมรู้ และขออโหสิกรรมให้กับทุกคน ผมมันเป็นคนบาป การตายของผมในวันนี้ ไม่รู้ว่าจะชดใช้กรรมเก่าได้หมดสิ้นหรือเปล่า” ข้าพเจ้าถามอีก “ แสดงว่าศักดิ์ทำจริงใช่ไหม” น.ช.สมศักดิ์ “ ครับผมทำจริง”
ภายในหมวดผู้ช่วยเหลือฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร ได้มารออยู่ก่อนแล้ว เมื่อข้าพเจ้านำน.ช.สมศักดิ์มาถึง ได้ให้น.ช.สมศักดิ์นั่งที่เก้าอี้ซึ่งจัดไว้กลางห้อง เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังและกองทะเบียนประวัติอาชญากรเข้ามาทำการพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจสอบประวัติบุคคลตามระเบียบ แต่น.ช.สมศักดิ์ขอเวลาสูบบุหรี่หนึ่งมวนก่อน ซึ่งก็ได้อนุญาตให้ตามคำขอ ระหว่างที่รอให้บุหรี่หมดมวน สารวัตรโกมลหัวหน้าชุดของกองทะเบียนประวัติอาชญากร ได้ถาม น.ช.สมศักดิ์ว่า “ สมศักดิ์คุณเป็นคนเกิดจังหวัดไหน” น.ช.สมศักดิ์สูบอัดควันบุหรี่เข้าปอดอย่างแรงแล้วตอบว่า “ สารวัตรครับ ความจริงแล้วผมไม่ใช่คนไทยหรอกครับ ผมเป็นคนลาวฝั่งโน้น” สารวัตรโกมลร้องขึ้น “ อ้าว ในใบทะเบียนประวัติ บอกว่าคุณเป็นคนไทยไม่ใช่หรือ” น.ช.สมศักดิ์ตอบ “ใช่ครับสารวัตร แต่ผมปลอมแปลงสัญชาติหลบหนีจากฝั่งลาวเข้ามา” ข้าพเจ้าสงสัยจึงถามขึ้น “ ปลอมยังไงศักดิ์ประวัติถึงได้ออกมาเป็นคนไทยอย่างนี้” น.ช.สมศักดิ์ “ โถ่หัวหน้าครับ ประเทศไทยนะครับ ขอให้มีเงินจ่ายก็แล้วกัน รับรองว่าสามารถมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และทำบัตรประชาชนได้สบายมาก” ข้าพเจ้าถามอีก “ แล้วศักดิ์นึกยังไงถึงเข้ามาอยู่ในเมืองไทย แถมยังพูดภาษาไทยได้ชัด จนผมฟังไม่ออกเลยว่าเป็นคนต่างชาติ” น.ช.สมศักดิ์ “ ภาษาไทยนะครับหัวหน้า คนทางฝั่งบ้านผมส่วนใหญ่จะพูดกันได้แทบทั้งนั้น และผมเคยข้ามมาทางฝั่งไทยบ่อยๆ ได้พูดภาษาไทยอยู่เป็นประจำ ผมจึงพูดได้คล่อง ส่วนสาเหตุที่ต้องหนีข้ามมาฝั่งไทยนั้น เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ”
“ เดิมทีนั้นผมเกิดและโตขึ้นมาทางฝั่งโน้น อาชีพผมก็รับจ้างทั่วไปแม้กระทั่งทำนาทำสวน ข้อเสียของผมคือ ผมเป็นคนมีอารมณ์ทางเพศรุนแรงและต้องการบ่อยมาก ถ้าพอมีเงินอยู่บ้างผมก็จะไปเที่ยวผู้หญิง แต่ถ้าหาเงินไม่ได้แล้วเกิดมีอารมณ์ขึ้นมา ผมก็จะใช้วิธีดักฉุดผู้หญิงตามที่เปลี่ยวแล้วลงมือข่มขืน ซึ่งสมัยที่ผมอยู่ทางฝั่งโน้น ผมได้ข่มขืนผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ถ้าครั้งไหนเรื่องแดงขึ้นมา ผมก็จะหนีไปหากินในที่อื่นต่อไป แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงที่ผมข่มขืนมักจะไม่กล้าเอาเรื่อง เพราะกลัวอับอาย
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมดักฉุดผู้หญิงมาได้ แล้วจะลงมือข่มขืน แต่ผู้หญิงคนนั้นต่อสู้กับผมเต็มที่ ผมเลยโมโหพลั้งมือฆ่าผู้หญิงคนนั้นตาย เสร็จแล้วผมได้เอาศพไปโยนทิ้งน้ำ แล้วหนีไปอยู่ที่อื่น แต่อย่างว่าแหล่ะครับ ผมอดนิสัยเดิมไม่ได้ เมื่อไปอยู่ที่ใหม่ เวลาผมเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาแต่ไม่มีเงิน ผมก็จะใช้วิธีดักฉุดผู้หญิงอีก ในเมื่อเจ้าทุกข์ส่วนใหญ่ไม่กล้าเอาเรื่อง ผมเลยยิ่งได้ใจทำบ่อยขึ้น สุดท้ายผมก็พลั้งมือฆ่าผู้หญิงตายไปอีกคนหนึ่ง ผมเอาศพไปโยนทิ้งน้ำอีกเหมือนเดิม แต่คราวนี้หลังจากญาติคนตายพบศพ ก็ประกาศจะตามล่าคนฆ่าให้ได้ ซึ่งญาติของคนตายค่อนข้างเป็นคนที่มีชื่อเสียงทางฝั่งโน้น ผมรู้ตัวว่าไปไม่รอดแน่ จึงหนีข้ามมาทางฝั่งไทย โดยมีคนรู้จักกันช่วยเหลือพาไปทำงานที่โคราช และช่วยเรื่องปลอมแปลงสัญชาติ ซึ่งตัวผมนั้นมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “ ศักดิ์สิทธิ์ คำใส”
ตอนผมอยู่ที่โคราช เวลาผมเกิดมีอารมณ์ขึ้นมา ผมจะไปเที่ยวผู้หญิงหากินซึ่งหาได้ไม่ยาก และราคาไม่แพงนัก ช่วงนี้ผมไม่ได้ข่มขืนใครอีกเลย ภายหลังผมมาถูกจับในข้อหาลักทรัพย์ และถูกตัดสินให้ติดคุกอยู่ที่เรือนจำโคราช
ตอนที่ติดคุกอยู่นี้ผมได้รู้จักสนิทสนมกับอาของจารุณี(ชื่อเหยื่อรายสุดท้าย) เมื่อพ้นโทษออกมาด้วยกัน ผมยังไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนดี อาของจารุณีได้ชวนผมให้ไปอยู่ด้วยกันที่จังหวัดเลย ซึ่งก็คือบ้านของจารุณีนั่นเอง เมื่อผมเดินทางมาถึงจังหวัดเลย ผมยังไม่ได้เดินทางต่อไปที่เชียงคานในทันที เวลานั้นผมเกิดมีอารมณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากผมเพิ่งพ้นโทษออกมาวันแรกแต่ไม่มีเงินไปเที่ยวผู้หญิง ผมจึงหลบอาของจารุณีออกไปหาเหยื่อเพื่อระบายอารมณ์ สุดท้ายผมไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง มีอาชีพขับขี่รถสามล้อเครื่องรับจ้าง ผมหลอกพาไปข่มขืนในป่าด้านหลังโรงเรียนแห่งหนึ่ง ผมกลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะจำหน้าผมได้ และทำให้ผมอยู่ในจังหวัดเลยต่อไปไม่ได้ ผมจึงพยายามฆ่าปิดปากผู้หญิงคนนั้น แต่ผมมารู้ทีหลังว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ตาย จึงรีบเดินทางหนีมาพักอาศัยกับอาของจารุณีที่อำเภอเชียงคาน
ที่บ้านของจารุณีตอนที่ผมไปอาศัยอยู่ด้วยนั้น พอดีเป็นช่วงที่จารุณีและพี่สาว ซึ่งทำงานอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ได้กลับมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน พอผมได้พบเห็นหน้าจารุณีเท่านั้น ผมก็นึกชอบจารุณีขึ้นมาทันที เพราะว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ผมตั้งใจไว้ว่าจะต้องให้เป็นของผมให้ได้ ก่อนที่จารุณีจะกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ
จนกระทั่งคืนวันเกิดเหตุ ผมรู้มาว่าจารุณีจะกลับกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น ผมจึงคิดหาทางเผด็จศึกให้ได้ พอดีคืนวันนั้นฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ทุกคนต่างแยกย้ายไปนอนกันแต่หัวค่ำ ตกดึกผมซึ่งยังนอนไม่หลับ สังเกตว่าทุกคนในบ้านได้หลับกันหมดแล้ว จึงลุกขึ้นย่องเข้าไปที่มุ้งของจารุณีซึ่งนอนอยู่คนเดียว เมื่อไปถึงได้เข้าไปกอดและพยายามถอดเสื้อผ้าออก แต่จารุณีได้ตื่นขึ้นมาทำท่าจะร้อง ผมจึงเอามืออุดปากไว้และขอนอนด้วย แต่จารุณีไม่ยอม พยายามดิ้นรนและจะร้องให้คนช่วย ผมจึงหยิบผ้าขนหนูยัดเข้าไปในปาก และหยิบสายไฟวิทยุที่อยู่ข้างที่นอน พันรัดเข้าที่ลำคอของจารุณีจนนิ่งไป แล้วผมจึงลงมือข่มขืนทันที เสร็จแล้วผมถึงรู้ว่าจารุณีได้สิ้นใจตายไปแล้ว ผมจึงเก็บเสื้อผ้ารีบหนีแต่ก็ไปไม่รอด ผมจึงต้องมาชดใช้กรรมที่ทำไว้ อย่างที่เห็นกันในวันนี้แหละครับ”
สำหรับคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ก.ค. พ.ศ.2538 เวลาประมาณ 07.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.เชียงคาน จังหวัดเลย ได้รับแจ้งเหตุพบศพหญิงสาวถูกข่มขืนและฆ่า ที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่ที่ 6 ตำบลบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่าบนที่นอนมุมห้องด้านหลังบ้าน มีร่างของนางสาวจารุณี(ขอสงวนนามสกุล) อายุ 15 ปี นอนหงายเสียชีวิตอยู่ โดยถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม สภาพศพที่พบสวมใส่เสื้อยืดคอกลมสีฟ้า ส่วนกางเกงผ้ายืดสีน้ำเงินขาสั้นและกางเกงชั้นในสีขาวถูกรูดมากองไว้ที่ข้อเท้า ที่บริเวณอวัยวะเพศมีร่องรอยถูกข่มขืนจนฉีกขาด มีเลือดและปัสสาวะไหลเปื้อนเจิ่งนองเต็มที่นอน พบขนเพชรและคราบอสุจิที่ร่างของผู้เสียชีวิต ที่ลำคอมีรอยเขียวช้ำคล้ายถูกรัดอย่างแรง ที่ปากมีผ้าขนหนูอุดไว้แน่น บนที่นอนพบสายไฟฟ้าตกอยู่หนึ่งเส้น คาดว่าเป็นอาวุธที่ใช้รัดคอผู้เสียชีวิต
น้องสาวของน.ส.จารุณี ผู้พบศพคนแรกให้การว่า เวลาประมาณ 05.00 น. แม่ได้มาปลุกให้ตนลุกขึ้นไปหุงข้าว ในตอนนั้นเห็นนายสมศักดิ์ พรนารายณ์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับอาของตน เดินถือกระเป๋าเสื้อผ้ารีบร้อนออกไปจากบ้าน โดยไม่บอกกล่าวพูดจาแต่อย่างใด เมื่อไปเปิดมุ้งเพื่อจะปลุกพี่สาวของตน ก็พบว่าได้ถูกฆ่าตายไปแล้ว จึงส่งเสียงร้องเรียกให้คนในบ้านได้รับรู้ ส่วนแม่ของน.ส.จารุณีให้การว่า ปกติแล้วน.ส.จารุณีและพี่สาว จะทำงานก่อสร้างอยู่ที่กรุงเทพฯ ช่วงนี้ได้ลางานกลับมาเยี่ยมบ้าน และจะเดินทางกลับไปทำงานในเย็นวันนี้(4 ก.ค. 38) แต่ก็มาถูกฆ่าตายไปเสียก่อน เวลาเกิดเหตุน่าจะเป็นตอนกลางคืนวันที่ 3 ก.ค. ซึ่งเวลานั้นมีฝนตกลงมาอย่างหนัก จึงไม่มีใครได้ยินเสียงอะไร ส่วนนายสมศักดิ์ที่หายตัวไปนั้น เพิ่งพ้นโทษออกมาจากเรือนจำเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยอาของลูกสาวเป็นผู้พามาขออาศัยอยู่ด้วยชั่วคราว ด้วยความสงสารจึงอนุญาตให้พักอยู่ด้วย ดูจากลักษณะภายนอกแล้วเหมือนกับคนซื่อๆ ไม่น่าที่จะเป็นคนโหดร้ายไปได้ แต่แล้วกลับมาก่อคดีขึ้นในบ้านของตน และผู้เสียชีวิตก็เป็นลูกสาวของตนอีกด้วย ตนอุตสาห์ให้ที่อยู่อาศัย ไม่น่าที่จะมาทำกันอย่างนี้เลย เมื่อทราบข้อมูลผู้ต้องสงสัยเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกติดตามหาตัวนายสมศักดิ์ เพื่อนำตัวมาสอบสวนหาตัวคนร้ายที่แท้จริงให้ได้อย่างเร่งด่วน
วันที่ 5 ก.ค. พ.ศ.2538 เวลาประมาณ 16.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.เชียงคาน ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบผู้ต้องสงสัยน่าจะใช่นายสมศักดิ์ นั่งรอรถโดยสารอยู่ที่ศาลาที่พักผู้โดยสาร บ้านนาจานน้อย หมู่ที่ 2 ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จึงรีบนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบ เมื่อนายสมศักดิ์เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้ามาหาตน ได้ลุกขึ้นพยายามวิ่งหนีแต่ไปไม่พ้นถูกจับกุมได้ และนำตัวมาสอบสวนที่สภ.อ.เชียงคานทันที
ผลการสอบสวนเบื้องต้น นายสมศักดิ์ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างสาเหตุว่าเกิดมีอารมณ์ทางเพศจนหน้ามืดทนไม่ไหว เมื่อเห็นทุกคนในบ้านหลับสนิทหมดแล้ว ประกอกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก น่าจะกลบเสียงอื่นได้ ตนจึงย่องเข้าไปหาน.ส.จารุณีที่มุ้ง แต่ว่าฝ่ายหญิงไม่เล่นด้วย พยายามจะร้องเรียกให้คนช่วยและต่อสู้ดิ้นรน ตนจึงพลั้งมือฆ่าน.ส.จารุณีตาย และยังสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกว่า ตนเป็นผู้ข่มขืนและพยายามฆ่าโชเฟอร์สามล้อเครื่องรับจ้าง ที่ป่าด้านหลังโรงเรียนบ้านนาซำ หมู่ที่ 7 ตำบลนาอาน อำเภอเมือง จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมานี่เองอีกด้วย
หลังจากได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆเสร็จสิ้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนการสอบสวนมอบให้อัยการ เพื่อส่งฟ้องนายสมศักดิ์ต่อศาลจังหวัดเลย ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น ได้ตัดสินให้ประหารชีวิตนายสมศักดิ์ โดยไม่มีการลดหย่อนโทษให้แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์และจำนนต่อพยานหลักฐาน จึงไม่มีเหตุอันควรปราณีที่จะลดโทษให้ หลังจากถูกศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิตแล้ว ได้ถูกส่งตัวมาคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวาง และเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อมาเป็น “ข.ช.สมศักดิ์” (ข.ช.ย่อมาจากขังชาย หมายถึงนักโทษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา) และได้ใช้สิทธิ์ในการขอยื่นอุทธรณ์ ตามระยะเวลาที่กฎหมายได้กำหนดให้ ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ข.ช.สมศักดิ์ได้ใช้สิทธิ์ในการขอยื่นฎีกาอีก ผลการพิจารณาของศาลฎีกา ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ จึงกลายมาเป็นนักโทษเด็ดขาด เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อมาเป็น “น.ช.สมศักดิ์” (น.ช.ย่อมาจากนักโทษเด็ดขาดชาย หมายถึงนักโทษที่คดีถึงที่สุดแล้ว บางรายไม่ขอยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาก็ได้ แต่เมื่อพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดให้แล้ว จะกลายเป็นนักโทษเด็ดขาดทันที)
หลังจากถูกศาลตัดสินเด็ดขาดแล้ว น.ช.สมศักดิ์ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์อีก ต่อมาได้มีพระกระแสรับสั่งให้ยกฎีกา เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2542 และมีคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการประหารชีวิต ในวันที่ 30 เม.ย. 2542
หลังจากที่น.ช.สมศักดิ์ได้เล่าเรื่องราวของตัวเองจบลงแล้ว เจ้าหน้าที่ได้ทำการพิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจสอบตำหนิแผลเป็น และประวัติบุคคลตามที่ได้เคยให้ไว้(ประวัติปลอม) เสร็จแล้วเวรผู้ใหญ่ในวันนั้นได้เข้ามาอ่านคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้น.ช.สมศักดิ์ฟัง และให้เซ็นทราบในคำสั่งตามระเบียบ ต่อจากนั้นได้ให้ทำพินัยกรรม แต่น.ช.สมศักดิ์ไม่มีทรัพย์สินใดๆ เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดโอกาสให้เขียนจดหมาย น.ช.สมศักดิ์ได้เขียนจดหมายเป็นภาษาลาวจำนวน 2 หน้ากระดาษ พร้อมกับจดที่อยู่ของผู้รับที่ประเทศลาว มอบให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง ดำเนินการจัดส่งให้ถึงผู้รับตามระเบียบต่อไป
จากนั้นข้าพเจ้าได้ยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้น.ช.สมศักดิ์ ซึ่งวันนั้นมีข้าวเปล่า ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ ขนมหม้อแกงและน้ำเปล่าอีกหนึ่งขวด น.ช.สมศักดิ์ได้ตักข้าวและกับกินไปประมาณครึ่งจาน แล้วหยิบขนมกินไปอีกครึ่งชิ้น พร้อมกับพูดกับข้าพเจ้าว่า “ ผมยอมรับว่าคนไทยส่วนใหญ่มีน้ำใจดีมาก แต่ผมมันทำตัวไม่ดีเอง ทรยศต่อผู้มีพระคุณ และเนรคุณต่อแผ่นดินที่ผมหนีเข้ามาขออาศัยอยู่ เมื่อผมถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ที่เรือนจำแห่งนี้ ก็ไม่เคยมีใครรังแกหรือกลั่นแกล้งผม มีแต่ให้ความสงสารเห็นใจ หากชาติหน้ามีจริง ผมขอเกิดมาเพื่อชดใช้ความผิดและตอบแทนพระคุณผืนแผ่นดินแห่งนี้ด้วยเถิดครับ” ข้าพเจ้าได้บอกกับน.ช.สมศักดิ์ “ดีแล้วที่ศักดิ์ยังรู้สำนึกในความผิดถึงแม้ว่าจะสายเกินไป อย่างน้อยผมคนหนึ่งที่เป็นคนไทย ขออโหสิกรรมให้แก่ศักดิ์ และขอให้ศักดิ์พ้นบ่วงกรรม อย่าได้มีการอาฆาตจองเวรกับใครอีกเลยนะ” น.ช.สมศักดิ์ “ ขอบคุณครับหัวหน้า”
หลังจากอาหารมื้อสุดท้าย น.ช.สมศักดิ์ได้ขอเวลาสูบบุหรี่อีกหนึ่งมวน เสร็จแล้วข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทั้งหมด นำน.ช.สมศักดิ์เข้าไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์ ซึ่งได้กล่าวถึงผลของบาปบุญ ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้นำน.ช.สมศักดิ์เดินไปสู่หลักประหาร ตลอดทางข้าพเจ้าได้ชวนพูดคุยและคอยปลอบใจ ซึ่งน.ช.สมศักดิ์แสดงอาการปลงตกยินยอมรับการลงโทษแต่โดยดี สามารถเดินได้อย่างปกติ เมื่อผ่านที่หน้าศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ พี่บานซึ่งเดินตามมาด้านหลัง ได้บอกให้ข้าพเจ้านำตัวแวะที่หน้าศาลก่อน แล้วนำเดินต่อไปจนใกล้ถึงศาลาเย็นใจ น.ช.สมศักดิ์ก็เกิดอาการเข่าอ่อนทรุดลงไป ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกนายต้องช่วยกันประคองตัวเดินจนสามารถไปถึงศาลาเย็นใจได้
เมื่อเข้าไปในศาลาเย็นใจแล้ว ได้ให้น.ช.สมศักดิ์นั่งที่เก้าอี้สีขาว พี่บานได้หยิบดอกไม้ธูปเทียน ส่งให้น.ช.สมศักดิ์พนมมือไหว้ไปทางอุโบสถวัดบางแพรกใต้ แล้วหยิบผ้าดิบขึ้นผูกที่ตาของน.ช.สมศักดิ์ เสร็จแล้วข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกนายได้พยุงตัวให้ลุกขึ้น นำตัวเดินไปที่ห้องประหารทันที
ภายในห้องประหาร ข้าพเจ้าได้นำน.ช.สมศักดิ์ไปที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง เมื่อเข้าไปถึงพี่เลี้ยงอีกนายได้บอกให้ข้าพเจ้าช่วยยกตัวน.ช.สมศักดิ์ขึ้นนั่งบนแท่นไม้ และให้ข้าพเจ้าใช้มือขวาจับมือทั้งสองข้างของน.ช.สมศักดิ์ให้พนมมือกำดอกไม้ธูปเทียนไว้ ส่วนมือซ้ายของข้าพเจ้าให้กดหลังดันให้หน้าอกของน.ช.สมศักดิ์อัดติดกับเสาหลักประหาร ตลอดเวลานั้นน.ช.สมศักดิ์ไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนแต่อย่างใด พี่บานได้ส่งสัญญาณให้ข้าพเจ้าดูวิธีการมัดตัวนักโทษให้ติดกับหลัก ซึ่งเมื่อดูแล้วข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ยาก ต่อจากนั้นได้ให้ข้าพเจ้าช่วยยกแผงผ้าม่านมาตั้งที่ด้านหลังของน.ช.สมศักดิ์ พร้อมกับสอนวิธีตั้งเป้าตาวัวให้ตรงกับหัวใจของนักโทษแก่ข้าพเจ้า เสร็จแล้วใช้ทรายแห้งโรยรอบเสาหลักประหาร เพื่อให้ซับเลือดที่จะไหลเจิ่งนองลงมา จากนั้นพี่บานได้ให้ข้าพเจ้าทำความเคารพไปที่น.ช.สมศักดิ์ พร้อมกับกล่าวนำ “ พุทธัง อเจตนานัง ธรรมมัง อเจตนานัง สังฆัง อเจตนานัง สิ่งที่พวกกระผมทำไปในวันนี้ มิมีเจตนาที่จะกระทำ เป็นการกระทำตามหน้าที่ ขอให้อโหสิกรรมด้วย” ข้าพเจ้าได้ยินเสียงน.ช.สมศักดิ์ขานรับ “ ครับหัวหน้า”
ต่อมาเป็นหน้าที่ของพลเล็งปืน ซึ่งทำหน้าที่บรรจุกระสุนและตั้งศูนย์ปืนให้ตรงกับเป้าตาวัว เมื่อตรงดีแล้วได้ทำการล็อกตัวปืนยึดติดกับแท่น เพชฌฆาตมือหนึ่งได้เข้ามาตรวจสอบศูนย์ปืนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นว่าศูนย์ปืนตรงดีแล้วได้แจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ หัวหน้าชุดประหารได้โบกธงแดงลงทันที เพชฌฆาตเหนี่ยวไกปืนออกไปเป็นจังหวะ “ ปัง ปัง ปังๆๆๆๆๆ “ รวมทั้งสิ้น 8 นัดด้วยกัน โดยทำการประหารเมื่อเวลา 18.01 น. หลังจากยิงไปแล้วประมาณ 3 นาที พี่บานได้ชวนข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกนายพร้อมด้วยแพทย์ เข้าไปตรวจดูร่างของน.ช.สมศักดิ์ พี่บานได้บอกให้ข้าพเจ้าเป็นผู้เปิดผ้าผูกตาออก ซึ่งข้าพเจ้าในตอนนั้นรู้สึกเสียวเข้าไปถึงหัวใจ กลัวว่าเมื่อเปิดผ้าผูกตาออก น.ช.สมศักดิ์จะจ้องมองข้าพเจ้าแล้วยักคิ้วให้ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อแพทย์เห็นว่าสิ้นใจแน่แล้ว ไม่ต้องทำการยิงซ้ำ จึงแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ
หัวหน้าชุดประหารได้สั่งให้นำร่างของน.ช.สมศักดิ์ลงจากหลักประหาร พี่บานได้เรียกให้ข้าพเจ้าเข้าไปช่วย พร้อมกับสอนวิธีตัดด้ายดิบให้กับข้าพเจ้า และจับพลิกร่างให้น.ช.สมศักดิ์นอนคว่ำหน้าลง จากนั้นเป็นหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง เข้ามาทำการพิมพ์ลายนิ้วมืออีกครั้งหนึ่ง เป็นอันหมดหน้าที่ของพี่เลี้ยง
เมื่อได้ทำการประหารเสร็จสิ้นแล้ว พี่บานได้แนะนำและอธิบายขั้นตอนต่างๆ ให้แก่ข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับบอกว่า “ยุทธถ้ามีการประหารคราวหน้า ให้คุณเตรียมมีดคัตเตอร์สำหรับตัดด้ายดิบมาด้วย เก็บซ่อนให้ดีๆ ระวังอย่าให้ถูกนักโทษแย่งไปได้ และถ้ามีกุญแจมือให้เตรียมมาด้วย เผื่อเกิดมีเหตุการณ์ฉุกเฉินจะได้ช่วยกันได้” ข้าพเจ้ารับทราบแล้วไปเข้าเวรต่อที่ฝ่ายควบคุมแดน 10
หลังจากการทำหน้าที่พี่เลี้ยงครั้งแรกของข้าพเจ้าได้ผ่านไปแล้ว ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า มีกลิ่นคาวของเลือดติดอยู่ที่จมูกของข้าพเจ้าตลอดเวลา เป็นเช่นนี้อยู่ 3-4 วัน จึงได้เล่าให้รุ่นพี่ฟังและได้รับคำแนะนำให้ไปถวายสังฆทาน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรีบไปดำเนินการทันที และได้เล่าสาเหตุให้พระผู้รับสังฆทานฟัง พระรูปนั้นได้สวดมนต์แผ่ส่วนกุศลไปให้ และได้บอกกับข้าพเจ้าว่า “ โยม เท่าที่โยมเล่าให้อาตมาฟัง โยมได้ทำตามหน้าที่ อาตมาคิดว่าไม่น่าจะเป็นบาป เพราะถ้าเป็นบาป ทหารตำรวจที่ฆ่าโจรผู้ร้ายเพื่อบ้านเมืองก็คงต้องบาปด้วย สมัยโบราณกษัตริย์ไทยหลายพระองค์ ได้สู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมือง และได้ฆ่าข้าศึกตายไปจำนวนมาก ก็คงต้องบาปด้วยเช่นกัน โยมเป็นตัวแทนของประเทศ ทำหน้าที่กำจัดคนที่เป็นอันตรายต่อแผ่นดินให้หมดไป และยังเป็นการทำตามคำสั่งที่ถูกต้องอีกด้วย ขอให้โยมคิดว่าทำเพื่อบ้านเมือง ซึ่งหน้าที่นี้คงมีน้อยคนนักที่จะได้เข้ามาทำ หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศล แล้วโยมจะดีขึ้นเอง” หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับจากวัดในวันนั้น กลิ่นคาวเลือดก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง และตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าข้าพเจ้าจะนำนักโทษไปประหารครั้งละกี่รายก็ตาม ไม่เคยมีกลิ่นคาวเลือดติดจมูกของข้าพเจ้าอีกเลย
ขอให้ดวงวิญญาณทั้งหลายของผู้ที่ถูกนายสมศักดิ์ พรนารายณ์ ทำร้าย จงไปสู่สุขติภพ
ขออโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณนายสมศักดิ์ พรนารายณ์ อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย